25/9/58

โลกแห่งวิญญาณ

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


คำว่า Spirit ความหมายทั่วไปอาจหมายถึง จิตวิญญาน ซึ่ง  Society for Psychical Research ให้คำจำกัดความว่า  มาจากกระแสของ จิตสำนึกส่วนบุคคล และในท้ายที่สุดอาจจะได้รับการพิสูจน์จะบ่งบอกว่า มีหรือไม่ อันเป็นเรื่องมนุษย์ที่ยังมีชีวิตในจิตสำนึก จากวิธีคิดและกระทำ

แต่ในที่นี้หมายถึง เรื่องในความเชื่อของจิตในวิญญาณของคนตายไปแล้ว รวมถึงความเชื่อต่อการบูชาบรรพบุรุษในวัฒนธรรม งานศพทางศาสนาบางพิธี และบางส่วนของการเชื่อเรื่องผี และพิธีกรรมเวทมนตร์ รวมถึงการไปในที่บางแห่ง แล้วถูกหลอกหลอน จากวิญญาณ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

ในเรื่องภูตผีหรือผี เรามักจะนึกถึงผีเป็นวิญญาณหลงทาง ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ในโลกแห่งวิญญาน จึงมีนัยสำคัญว่า วิญญาณ หมายถึงสิ่งที่แยกร่างกายจากศพ
เป็นการประกาศของ จิตวิญญาณคนตาย มักจะหมายถึงยังมีปัญญามีสติ และความรู้สึกตอบสนองต่อเหตุการณ์ ในสภาพแวดล้อมได้

ส่วนรูปแบบต่างๆ ของความเชื่อ เช่น ชินโตของญี่ปุ่น ศาสนาแบบดั้งเดิมแอฟริกัน อธิบายมุ่งเน้นไปที่สิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น อันเป็นตัวแทนหรือเชื่อมต่อกับพืชสัตว์ หรือพระเจ้า ในพระคัมภีร์ธรรมทางจิตวิญญาณของคริสเตียน อธิบายว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงพระเจ้า แต่สำหรับในศาสนาพุทธ อธิบายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตายของมนุษย์ ในรูปแบบต่างๆ เช่น เทวดา เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มีปัจจัยเกิดตามสภาวะ ตามบุญกรรมที่กระทำมา เป็นต้น

หัวข้อเกี่ยวกับ บริบททางจิตวิญญาณ และความเลื่อนลอยของ
วิญญาณ ในหลายตำรากล่าวว่า วิญญาณ อาจเป็นเป็นสาร ที่ไม่เป็นเชิงปริมาณหรือพลังงาน จึงไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งบนโลกสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน ของมนุษย์มีระบบชีวิตในแบบ 4 มิติ คือ กว้าง x ยาว x สูง + ด้วยเวลา (ที่ย้อนกลับคืนไม่ได้) ซึ่งมีปริมาณและพลังงานชัดเจน ดังนั้นสิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฎอยู่ในสภาวะ 4 มิติดังกล่าว มนุษย์จึงมองเห็นได้  ต่างกับสภาวะทางวิญญาณ อยู่ในสภาวะมิติที่แตกต่างออกไป จึงมองไม่เห็นต่อกัน

แต่ยังมีข้อขัดแย้ง ในบางคนบอกว่าเคยเห็นวิญญาน (ในกรณีนี้ตัดประเภทจิตหลอนออกไป) การเห็นดังกล่าวแสดงว่าบุคคลนั้นรับรู้ได้จริง อาจเป็นความบังเอิญจากช่องโห่วสภาวะมิติที่ต่างกัน เกิดมีจุดเชื่อมโยงกันแบบหนึ่งแบบใดเกิดขึ้น อย่างก็ตามสิ่งที่พอจะรับฟังได้ คือ ผู้ที่ปฎิบัติวิธีสมาธิ (ในกรณีนี้ตัดประเภทร่างทรงที่มักแอบอ้างออกไป) มักมีข้อมูลเสมอว่า สามารถติดต่อสัมพันธ์ หรือมองเห็นวิญญานผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือสามารถสื่อสัมพันธ์กับเทพเจ้าได้ ในทางหนึ่งทางใดนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ 


สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นของ กลุ่มวิญญาณนั้น คือ มวลพลังงานชนิดหนึ่ง เป็นกลุ่มอะตอมอาจไม่พบในสภาวะบนโลก และเกิดขึ้นหลังจากการสิ้นชีวิตของมนุษย์ทุกคน และจะลอยเหนือร่างเป็นกลุ่มจางบางเบาสีขาวคล้ายควัน โดยเฉพาะขณะสิ้นชีวิตใหม่ๆ คล้ายเป็นสัญญานจิตที่ออกจากร่างไป ในสถานะการณ์ดังกล่าวมวลพลังงานนั้น จะลอยสงบนิ่งในพิธีกรรมนั้นๆ เพื่อรอสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเหนี่ยวนำโยงใยไปในที่อื่นๆ โดยมวลพลังงานนั้น ไม่สามารถกำหนดทิศทางใดๆได้เองเลย  

ในผู้ที่ปฎิบัติวิธีสมาธิ  (หรือไม่ว่าด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดที่คล้ายกัน) หรือเพียงอยู่ในสภาวะคล้ายตกภังค์ กึ่งหลับกึ่งตื่น (และไม่ใช่ฝันตอนหลับ) อาจมีเหตุปรับสร้างรูปแบบทางกายภาพ และจิตไปพร้อมๆกัน เกิดสอดรับความถี่กระแสคลื่น ของมวลพลังงานนั้นโดยบังเอิญ เปลี่ยนสภาวะของตนเข้าสู่มิติอื่น (โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) ทำให้เกิดสภาวะใหม่ขึ้นในขณะนั้น (ชั่วขณะหนึ่ง) จึงสามารถมองเห็นต่อกันได้ และอาจสร้างความตื่นตกใจกันทั้งสองฝ่าย

และสภาพแวดล้อมพิธีกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น ท่ามกลางบทสวดมนต์ บทเพลงแห่งคาถาที่เกิดขึ้น (ไม่ว่าจากลัทธิศาสนาใด) มิใช่ความหมายในคำสวด แต่เป็นค่าความถี่ของคลื่นเสียงนั้น (ที่ถูกเรียบเรียงขึ้นจากคำสวด) กระเพื่อมแทรกไปสู่อีกมิติหนึ่งได้ กระทบยังมวลพลังงานไม่มากก็น้อย คล้ายเป็นการกระตุ้นให้เกิด อำนาจตอบสนองต่อกัน อาจหมายถึง การส่งไปสู่ที่จุติใหม่ หรือรวมถึงวิธีขับไล่ มวลพลังงานที่เป็นวิญญาณนั้น แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่กระทำนั้น ไม่ได้มีผลผลักดัน มวลพลังงานได้ดังที่เข้าใจ แต่มีอำนาจในระบบธรรมชาติในมิตินั้น เปรียบเสมือนสองรูปแบบในหนึ่งเดียว คือ สายใยและแรงโน้มถ่วง เป็นตัวกำหนดทิศทางไว้

วิถีแห่งการส่งหรือขับไล่ มวลพลังงานของกลุ่มวิญญาญ โดยมนุษย์ทั่วไปแล้วเป็นสิ่งเลื่อนลอย มักเข้าใจกันไปเอง เหตุผลที่สามารถชี้ชัดได้คือ สภาวะที่ต่างมิติกันนั้นเอง เพราะแต่ละมิติระหว่างโลกและโลกวิญาณนั้นมีขอบเขต มิฉะนั้นแล้วหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่รอบตัวเรา อาจโผล่ขึ้นให้เห็นต่อเนื่องอย่างน่าตกใจ



บทความรู้โดย Cosmos Odyssey