4/10/58

รังสีจักรวาลกับมนุษย์

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล

ที่มาของรังสีจักรวาล

Cosmic rays หรือ บางคนเรียกว่า รังสีจักรวาล คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ คือเป็นขบวนการเปลี่ยนแปลงของอนุภาค (Protons และ Nuclei ของอะตอม) กลุ่มอนุภาคเหล่านี้ มาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น นอกกาแล็คซี่ทางช้างเผือกอย่างแน่นอน ซึ่งอาจมาจากกาแล็คซี่อื่น ที่ห่างไกลไปนับล้านปีแสง หรือกาแล็คซี่เก่าแก่ในจักรวาล ที่ถือกำเนิดก่อนกาแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา มีคุณสมบัติพิเศษเป็นพลังงานสูง (Ultra-high-energy cosmic rays)  มีค่าพลังงานมากกว่า 2,000,000,000 eV (electron volts - หน่วยการวัดอนุภาค ถ้าหากวัดโมเลกุลในห้องที่นั่งอยู่ทั่วไป จะมีค่าเพียง 1/40 eV) 


อนุภาค Cosmic rays นั้นกระจายตัวอยู่ทั่วไป ในบริเวณเหนือชั้นบรรยากาศโลก เรียกว่า Primary Cosmic rays (รังสีจักรวาลปฐมภูมิ) ถ้าในกรณีอนุภาคตกลงสู่พื้นผิวโลก เรียกว่า Secondary Cosmic rays (รังสีจักรวาลทุติยภูมิ) ในเบื้องต้น Cosmic rays เกิดจาก Ultra-penetrating Gamma raditation (การแผ่รังสีในะดับคลื่น Gamma ซึ่งตามนุษย์มองเห็นไม่เห็น แต่สามารถใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ตรวจจับได้) หลังจากนั้นมีขบวนการของอนุภาค Nentrinos เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นอนุภาคที่สามารถ วิ่งทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ทะลุผ่านโลกไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยมีพลังสูงสุดระดับมากกว่า 1,000 ล้านเท่า ของอนุภาคทั่วไป ที่พบบนโลก


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
หอสังเกตการณ์ รังสีจักรวาลลึกลับพลังสูง The Pierre Auger Cosmic Ray Observatory ในประเทศอาร์เจนตินา

ขณะเดียวกัน Cosmic rays ที่พุ่งทยานเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ก็จะรวมตัวเข้ากับ Oxygen  หรือ Nitrogen เกิดการเสื่อมสลายของ Electrons ค่าพลังงานจึงลดลงแต่ Cosmic rays ยังมีความเร็วใกล้เคียงความเร็วแสงยังมีพลังสูงมาก (Very high energy) แต่กลับไม่มีผลอันตรายใดๆต่อระบบชีวิตมนุษย์ สัตว์และพืชแม้แต่น้อย แต่มีคุณสมบัติสามารถกระตุ้น อนุภาคต่างๆในธรรมชาติที่อยู่ในโลก สัตว์ สิ่งของต่างๆ และอนุภาคที่อยู่ในมนุษย์ให้มีความเสถียรได้ เสมือนไปจุดชนวนเพิ่มศักยภาพอะตอมที่อยู่ใน ระบบมนุษย์ได้อย่างพิศวง บางกรณีของบางคน ยังสามารถมองเห็น Cosmic rays ได้ในระยะไกลจากพื้นโลก โดยเห็นเป็นสายธารไหลรินยาว จากเหนือชั้นบรรยากาศของโลก เหมือนสายฝนเม็ดเล็กๆเป็นประกายแสง กำลังพุ่งเข้าสู่โลก มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่ครอบคลุมไปทั่วฟ้า การเห็นคล้ายประกายแสงระยิบระยับนั้น แท้จริงคือ การเปลี่ยนแปลงการทำงาน ของอะตอม จึงหมายความว่าบุคคลนั้น มีศักยภาพมองเห็น สิ่งที่เล็กที่สุดระดับอะตอม ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษ สามารถพบได้ไม่น้อย


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
เครื่องตรวจจับรังสีจักรวาลลึกลับพลังสูง The Pierre Auger  Cosmic Ray Observatory ติดตั้งทั่วทวีปอเมริกาเหนือ

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
นักวิทยาศาสตร์ ในความร่วมมือ ของ The Pierre Auger Cosmic Ray Observatory  ทั่วโลก

 การแสดงตัวของรังสีจักรวาล

ทางเทคนิครังสีจักรวาลหรือ Cosmic rays ที่แสดงตัวขึ้นในชั้นบรรยากาศเรียกว่า Phenomenonof Atmospheric Fluorescence (ปรากฎการณ์ เรืองแสงวาวขาวในชั้นบรรยากาศ) เหตุเพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของอนุภาค เมื่อพุ่งเข้าใกล้โลกในชั้นบรรยากาศ ทำให้มีการถ่ายเท ของโมเลกุลบางจำนวน เกิดผลกระทบ เรียกว่า Shaking up (การสะท้านหรือการสั่นไหว) โมเลกุลจึงตอบสนองปฎิกิริยาดังกล่าวด้วยการ ปล่อยแสงวาวออกมาหลังจากนั้น ก็กลับสู่สภาพปกติ จึงทำให้เห็นเป็นเกร็ดเล็กๆ วูบวาว สีเงิน สีทองหรือสีต่างกันไป ตามผลของโมเลกุลแต่ละชนิดของก๊าซ ในบริเวณนั้นที่ 


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
รังสีจักรวาล สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ตามวิธี ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล โดยไม่มีอันตรายใดๆ

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
ขั้นตอนของ ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล

รังสีจักรวาลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ 

การเชื่อมโยงรังสีจักรวาลในรูปแบบต่างๆในหลายประเทศ จากอวกาศและฟากฟ้ามาสู่มนุษย์ เกิดขึ้นมานานแล้ว จากยุคโบราณนับแต่อียิปต์ การก่อสร้างปิรามิดจากหลายแห่งมีทำนองเดียวกัน ที่เน้นตำแหน่งสัมพันธ์กับดวงดาว เพื่อหาจุดสำคัญเพื่อรับพลังรังสีจักรวาล จากดาวดวงหนึ่งดาวใดอย่างตั้งใจ และนอกจากนั้นยังมีบันทึก ที่เกี่ยวข้องในหลายประเด็น ของสุริยะเทพและเทพจากดาวดวงอื่น นอกจากนั้นยังมีตำรำความรู้ ผู้รู้ มีเทคนิคในการเชื่อมโยงในรูปแบบพลังงาน เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ไม่น้อย บางคนทำเป็นกิจวัตรนัย เพื่อรักษาความสมดุลย์ระบบร่างกาย นอกเหนือจากการออกกำลังและรับประทานอาหารครบหมู่ ทั้งนี้ผู้เชื่อมโยงจะรู้ลึกได้ถึงพลังงานที่เข้าปะทะ ทั้งแบบรุนแรงและนุ่มนวล ควบคุมด้วยตนเองได้ โดยไม่มีผลอันตรายใดๆ เชื่อว่ารังสีจักรวาลดังกล่าว เมื่อถูกดึงดูดเข้ามาในตัวมนุษย์ สนามพลังงานไฟฟ้าของมนุษย์ เป็นตัวกรองความเข้มข้น และปรับความสมดุลย์ เพื่อให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออะตอมในร่างกายจากค่าประจุไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดต้องเข้าใจวิธีการ แบบแผนและหลักปฎิบัติ จะช่วยให้สุขภาพสดชื่นขึ้น และสามารถรับรู้ได้ด้วยตนเองในวิธี ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
Charles Piazzi Smyth นักดาราศาสตร์สก็อต์ บันทึกใน
The British Museum เรื่อง Great Pyramid เชื่อมโยงมุมรังสีจากกลุ่มดาวเพื่อปกป้องสุสาน


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

ออร่าบนร่างกายมนุษย์

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


 พื้นฐานที่มาของออร่า

ภาพที่ปรากฎขึ้นนั้นจะมีเงาล้อมวัตถุ เป็นรูปกลุ่มไอสีขาวเทา หรือหมอกจางๆเป็นขอบรัศมี หรือเส้นใย ในแบบหนึ่งแบบใด บางคนเรียกว่า ออร่า (Aura) แท้จริงแล้ว เป็นลักษณะสนามพลังไฟฟ้าชีวภาพ (Bio-electric energy field) ซึ่งเกิดขึ้นล้อมรอบๆสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ แต่ในหลายครั้งที่มีภาพถ่ายจากกล้องถ่ายภาพ และเกิดลักษณะเดียวกันนี้ บริเวณสิ่งศักดิ์ หรือวัตถุที่บูชาต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเพียงผลกระทบของแสง หรือมุมแสงจากการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญได้ อาจไม่ใช่ภาพออร่า ที่แท้จริง

โดยทั่วไปออร่า มีหลายประเภทเป็นสิ่งที่มีจริง และสายตามนุษย์มองไม่เห็น แต่อาจมีผู้ที่มีลักษณะพิเศษ เช่น ตาที่สาม (Third Eye) หรือผู้ที่ปฎิบัติสมาธิในรูปแบบต่างๆ มองเห็นได้ และแน่นอนว่ามิใช่ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่มีเหตุผล แต่จะมีที่มาต่างกันออกไป เป็นรัศมีที่แผ่อำนาจออกมาบริเวณรอบๆสิ่งนั้น มิเพียงแต่บนร่างกายมนุษย์ อาจแผ่รังสีออกมาจากบนอาคาร ภูเขา ต้นไม้ แม้กระทั่งอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น สมาร์ทโฟน หรือ จากแร่และหิน ทุกชนิด หรือจากสิ่งที่นับถือบูชามาช้านาน แต่การแผ่รังสีจะมีประโยชน์เพียงใด ขึ้นอยู่กับที่มาขององค์ประกอบของธาตุ การแผ่รังสีนั้นๆ จากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field) ซึ่งจะแสดงแถบรังสีของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Specturm) ออกมา


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
ภาพถ่ายรังสีไฟฟ้าของมนุษย์ โดย Semyon Kirlian & Valentina Kirlian  รายงานในวารสาร Russian Journal of Scientific เรียกว่า Kirlian photography 

สำหรับหัวข้อนี้ กล่าวถึงเฉพาะเรื่อง ออร่า การแผ่รังสีที่เป็นรัศมี ออกมาจากร่างกายมนุษย์ โดยมีที่มา 3 ระดับ ด้วยกันคือ

1.Human Body Class : ระดับสัมพันธ์ร่างกายมนุษย์

โดยทั่วไปในร่างกายมนุษย์ มีไฟฟ้าอ่อนๆ บริเวณผิวจะเรืองขึ้นเป็นแสงสีขาวบางๆ แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ซึ่งในกรณีนี้ถือเป็น ออร่าปกติทั่วไปของมนุษย์ทุกคนรวมทั้งสัตว์ พืช สิ่งของสำหรับมนุษย์ มักมีความหนาจากผิวเฉลี่ยประมาณ 1 ซม. มีที่มาจากสนามพลังไฟฟ้าชีวภาพของมนุษย์เอง จากการเผาผลาญภายในร่างกาย (เกิดจากกระแสไฟฟ้าระดับต่ำๆ) ที่ทำงานหล่อเลี้ยง และแผ่รัศมีออกมา ทั้งนี้ไม่มีผลใดๆต่อภายนอก และในบางกรณีที่ออกกำลังกาย จะแสดงไอความร้อนออกมาปะปนด้วย (เกิดจากความอุณหภูมิความร้อน) ซึ่งต้องแยกกัน ระหว่าง ออร่าและไอความร้อน



ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล

 2.Meditation Class : ระดับจิตสัมพันธ์สมาธิ

ระดับนี้ มีการเกิดขึ้นในหลายกรณี เช่น จากการปฎิบัติสมาธิ จากการสำรวมจิตมุ่งไปสิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมถึงการภาวนา หรือบางกรณี เพียงแค่นึกคิด ก็สามารถแสดง แสงออร่าออกมา ล้อมรอบตัวมากกว่าปกติ และอาจมีแสงเรืองหลายสี ต่างสีกัน บางกรณีเป็นลักษณะคล้ายกากเพชร สีเงิน หรือสีทอง ปลิวปกคลุมไปทั่วร่างกาย ซึ่งเกิดจากความเสถียรในระบบไฟฟ้าของร่างกาย และอะตอมท่วมล้นออกมา แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีสัญญานการก่อพลังงาน จากภายในร่างกายจากตำแหน่งต่างๆได้ (อาจไม่ครบทุกจุด)  และมีความหนาของแสง แผ่ออกมาหลายฟุตตลอดเวลา ถ้าหยุดปฎิบัติกิจดังกล่าว ก็ยังสามารถแสดง แสงออร่าที่แผ่ออกมา จากการสะสมในระยะหนึ่ง



ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล

3. Stellar Class : ระดับจิตสัมพันธ์จักรวาล

ระดับนี้บางคนมีมาเองแต่กำเนิด โดยไม่รู้ตัว และอาจมีเฉพาะบางส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่มักอยู่ที่บริเวณศรีษะ มีลักษณะแผ่รังสีเป็นรูปทรงของแสงออร่า เช่น เป็นวงกลมหลายวง เป็นวงรี เป็นวงแหวซ้อนกันหลายชั้น และชั้นของแสงอาจมีสีเดียว เช่น สีเหลือง สีฟ้า สีชมพู ฯลฯ หรือหลายสี เรียงออกมาเป็นชั้นๆจากผิว มีความหนาแต่ละสีต่างกันไป แผ่ออกมา ตั้งแต่ 1 ฟุต ถึง 3 ฟุต อย่างน่าพิศวง ในบางคนอาจมีท่วมไปทั่วร่างกาย โดยตนเองไม่ทราบแม้แต่น้อย แสงรอบตัวในระดับนี้ เรียกว่า รังสีจักรวาล หรือ พลังจักรวาล  เป็นการเชื่อมโยงพลังงาน มาจากอวกาศอันไกลโพ้น ซึ่งมีนักฟิสิกส์จำนวนไม่น้อย ความสนใจในการค้นคว้า 


วิธีการในกรณีเหล่านี้ ไม่เกี่ยวกับญานและการปฎิบัติสมาธิทางศาสนา มิใช่ศาสตร์ลึกลับซับซ้อน บุคคลส่วนหนึ่งสามารถเข้าถึงได้ สามารถนำมาการเพิ่มพลังงานในตัว โดยมีหลักเกณฑ์ปฎิบัติด้วยตนเอง ทดสอบด้วยตนเอง รู้ผลด้วยตนเอง จัดว่าเป็นพลังจักรวาลในแง่บวกโดยตรงสมบูรณ์แบบ  และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงสุขภาพและพลังจิตวิญญาน อย่างได้ผล (ซึ่งเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า) เข้าสู่ร่างกายแบบสมดุลย์ ไม่มีอันตรายใดๆ ในวิธี ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

มนุษย์ต่างดาว เรื่องจริงหรือเท็จ ?

พลังอัญมณีแห่งจักรวาล โดย Cosmos Odyssey

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ประสงค์ให้คิดวินิจฉัย ว่าควรเชื่อ หรือไม่เชื่อ

วันนี้ผู้คนกว่าครึ่งโลกเชื่อไปแล้วว่า มีมนุษย์ต่างดาวทั้งๆที่ยังไม่มีหลักฐานประจักษ์แจ้ง แบบเห็นตัวเป็นๆ บางทีเห็นคลิป UFO บนอินเตอร์เนทก็เชื่อไปแล้วไม่น้อย แต่การเชื่อหรือไม่เชื่อ สามารถวินิจฉัยในแง่วิทยาศาสตร์ได้ไม่ยาก แล้วผู้อ่านตัดสินใจเอง เป็นสิ่งที่มีเหตุผลว่าควรเชื่อ หรือไม่เชื่อ หรือจะเปลี่ยนใจเมื่ออ่านจบแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ประสงค์ให้ให้คิดวินิจฉัย จากเหตุผลอย่างน้อย 4 ประการ ดังนี้

1.จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ มีความใหญ่ไพศาล เกินกว่าจิตนาการ ด้วยขนาดประมาณ 14 พันล้านปีแสง มีกาแล็คซี่ต่างๆมากกว่า 200 พันล้านกาแล็คซี เพียงขนาดทางช้างเผือก ที่เราอาศัยอยู่นี้มีความกว้างใหญ่ 100,0000 ปีแสง และมีระบบสุริยะอื่นๆ บรรจุอยู่ไม่น้อยกว่า 300 ล้านระบบ ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้จาก จำนวนที่มากมายมหาศาลของระบบสุริยะอื่น

** ถ้าอยากทราบทั้งจักรวาล หาจำนวนโดยสังเขป เอาจำนวนกาแล็คซี่ ทั้งจักรวาล 200 พันล้านกาแล็คซี X ด้วยดาว 100 ล้านดวง ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยดาว อัตราต่ำที่สุดในแต่กาแล็คซี่ = จะได้รับคำตอบจำนวนระบบสุริยะที่มีอยู่ในจักรวาล)


พลังอัญมณีแห่งจักรวาล โดย Cosmos Odyssey 
2.หลายกรณีที่เรามักจะคิด จากสภาพแวดล้อมแบบบนโลก แบบความเป็นอยู่ของเราเองเป็นที่ตั้ง แต่ในสภาพแวดล้อมต่างดาว เราไม่เคยสัมผัส ส่วนใหญ่มักคล้อยตามจิตนาการ ในภาพยนต์ที่สร้างขึ้น และบางกรณีอาจบวกไปกับ ความเชื่อของศาสนาด้วย ซึ่งอาจะมีความเหมือนหรือไม่เหมือนก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องเข้าใจว่า โลกเรามีระบบมนุษย์ดำรงชีพ ด้วยเลือดและเนื้อเยื่อ รับพลังงานโดยการบริโภคน้ำอาหาร และการหายใจ และสิ่งรอบตัวเป็นระบบที่มี 4 มิติคือ มีขนาด กว้าง X ยาว X สูง + ด้วยเวลา = 4 มิติ อันเป็นลักษณะเฉพาะ ที่ทุกสิ่งจะติดยึดกับเวลาย้อนถอยไม่ได้

**ในทางวิทยาศาสตร์ ได้ทำการพิสูจน์ทราบว่า ในสภาพแวดล้อมของจักรวาลนั้น มีไม่น้อยกว่า 13 มิติ (แม้ว่าเป็นทฤษฏีที่ยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ส่วนใหญ่ยอมรับ ชุดสมการดังกล่าว) ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ สิ่งทรงปัญญาอื่น อาจอาศัยในมิติที่ต่างจากเราออกไป โดยเรามองไม่เห็นและไม่ทราบ


พลังอัญมณีแห่งจักรวาล โดย Cosmos Odyssey

3.ตลอดเวลากว่า 50 ปี มีนักวิทยาศาสตร์ ได้พยายามจะไขปริศนานี้ ในหลายโครงการ มีโครงการที่โดดเด่นหประกาศชัดเจน คือ โครงการของ SETI คือ การค้นหาสิ่งทรงปัญญา (Search for Extra-Terrestrial Intelligence) เพื่อค้นหาหลักฐานของต่างดาว ตรวจจับการส่งสัญญาณจากอวกาศ (คลื่นวิทยุ,คลื่นไมโครเวฟ,มีความสามารถในรัศมี 80 ปีแสง) ที่อาจส่งมาจากอารยธรรม จากดาวเคราะห์ดวงอื่น

เป็นความร่วมมือกัน ของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก มากกว่า 500 คน (จาก 80 ประเทศ) และได้ประดิษฐ์คิดค้น วิธีการเครื่องมือตรวจสอบ และภาษาคณิตศาสตร์ ที่จะต้องใช้ในการสื่อสารกับอารยธรรมอื่น และได้พบสัญญานครั้งหนึ่งส่งมาจากกลุ่มดาว ที่ห่างไกลสัญญานนี้ รู้จักกันในชื่อว่า สัญญาน Wow ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ สิ่งทรงปัญญาอื่น ทีมีความสามารถไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ ได้พยายามค้นหาอารยธรรมอื่นเช่นกัน


พลังอัญมณีแห่งจักรวาล โดย Cosmos Odyssey
โครงการของ SETI คือ การค้นหาสิ่งทรงปัญญา (Search for Extra-Terrestrial Intelligence)

4.ด้วยหลักเกณฑ์สมการที่เรียกว่า Drake Equation ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ คิดโดย ดร. แฟรงก์เดรก (นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน) เมื่อปี ค.ศ. 1960 เพื่อประมาณการความเป็นไปได้ ของจำนวนอารยธรรมในทางช้างเผือก โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ในรูปแบบของสมการทางคณิตศาสตร์ เป้าหมายคือ จำนวนอารยธรรมต่างดาว ที่มีความสามารถติดต่อกันได้ทางคลื่นวิทยุ จากสมการนี้ระบุว่าสิ่งทรงปัญญาในทางช้างเผือกควรมี อารยธรรมอื่นอีกอย่างน้อย 40 อารยธรรม จึงเป็นทิศทางในความเป็นไปได้แง่วิทยาศาสตร์ ที่เราอาจพบ สิ่งทรงปัญญาอื่น

พลังอัญมณีแห่งจักรวาล โดย Cosmos Odyssey


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey
SunflowerCosmos.org
SETI - Search for Extra-Terrestrial Intelligence
Drake Equation for the SETI -  Institute SETI

3/10/58

ตาที่สาม


เป็นแนวคิดที่ลึกลับและความลับหมายถึง การมองด้วยตาที่สาม หรือตาด้านใน มิใช่ด้วยสายตาปกติธรรมดา เป็นเรื่องทางทางจิตวิญญาณบางอย่าง มีในบันทึกของ ฮินดู ตาที่สามหมายถึง เป็นจักกระศูนย์รวมแห่งพลังจิตวิญญาน (Ajna) ในร่างมนุษย์ และมีคำอธิบายด้าน เทวปรัชญา (Theosophy) แสดงความลึกซึ่ง หมายถึง "ความรู้เกี่ยวกับพระเป็นเจ้า" ที่มุ่งเข้าถึงพระเป็นเจ้าโดยตรง โดยไม่ผ่านการอาศัยคัมภีร์หรือผู้รู้อื่นๆ โดยให้ความสำคัญกับความรู้ หรือสร้างปัญญาที่นำไปสู่การหลุดพ้นเฉพาะบุคคล อันเป็นความเข้าใจในสภาวะของจักรวาลเอง แบบ ญานวิทยา (Epistemology) อันเป็นความเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ 

เพื่อสร้างช่องทางเชื่อมต่อ สิ่งอื่นใดในจักรวาลกับมนุษยชาติ หรือพระเป็นเจ้า (เทพเจ้า) เข้าด้วยกันกับมนุษย์ อันเป็นการมองเห็นและสื่อสารปฎิสัมพันธ์ในด้านเทวปรัชญา มีจุดมุ่งหมายที่จะสืบหาต้นกำเนิด ของพระเป็นเจ้า (เทพเจ้า) หรือสิ่งอื่นใดในจักรวาล ด้วยตาที่สาม โดยธรรมชาติจากความลึกลับที่บุคคลทั่วไปมองไม่เห็น

ที่มาของการสร้างบทบาท ตาที่สามของมนุษย์นั้น เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal gland) เป็นต่อมไร้ท่อเล็กๆ ในสมองหรืออยู่ด้านล่างสุด ของโพรงสมอง ประกอบด้วยเซลล์ 2 ประเภท คือเซลล์ไพเนียล (Pinealocytes) และเซลล์ไกลอัน (Glial cell) มีหน้าที่ การรับตัวกระตู้นการมองเห็น ด้วยการรับแสงด้วยความไว (Visual nerve stimuli) ทั่วไปจึงเรียกว่าเป็น ตาที่สาม และจะทำหน้าที่สูงสุด ขณะช่วงมนุษย์กำเนิด และขณะมนุษย์กำลังจะตาย 

ลัทธิเต๋า และหลายศาสนานิกายจีนแบบดั้งเดิม และคริสเตียน (บาดหลวงริชาร์ดโรห์) มีการสอนฝึกในเรื่องตาที่สาม เป้าหมายคือ ช่วยรับรู้ การสั่นสะเทือน (Vibration) ของจักรวาล ช่วยให้เกิดความมั่นคงและความรู้ลึกในจิตสำนีก อย่างถูกต้องเฉพาะตน 

การสั่นสะเทือนของจักรวาล เป็นคำเปรียบที่อาจเข้าใจยาก หากผู้นั้นยังไม่สามารถ ใช้ตาที่สามได้ การเกิดขึ้นในเรื่องตาที่สามนี้ ด้านทางวิทยาศาสตร์ สามารถอธิบายได้ว่า ต่อมไพเนียล ที่อยู่ในสมองนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นการรับแสง (ภาพ) โดยไม่ผ่านดวงตา ดังนั้นการเห็นภาพ คือการเห็นจากสมอง (และเกิดขึ้นในสมอง) ต่างจากที่เรามองตามปกติ ภาพที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการสั่นสะเทือน ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า อันประกอบด้วยระดับโมเลกุล อะตอม และนิวเคลียสของอะตอม  จึงสามารถสร้างภาพขึ้นได้ จากต่อมไพเนียลที่มีความไวแสงฉายเป็นภาพในสมอง ทั้งนี้จะมีความละเอียดของภาพต่างกัน 

การขยายความ เรื่องการสั่นสะเทือนของจักรวาล นั้นคือ การสั่นสะเทือนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field) ซึ่งปรากฎขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา ไม่ว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือ คลื่นเสียงจากวิทยุ โทรทัศน์ หรือกระแสไฟฟ้าที่วิ่งอยู่ในสายไฟมีเปลือกหุ้ม รวมทั้ง การสั่นสะเทือนที่ห่างออกไปในจักรวาล ที่เป็นรังสีพลังสูง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแต่เรามองไม่เห็น การรับรู้แบบตาที่สาม คือ เห็นแถบรังสีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Specturm) กล่าวคือ เห็นคลื่นรอบโทรศัพท์มือถือ เป็นละอองฟุ้งๆ เห็นอะตอมที่เป็นประจุไฟฟ้าวิ่งในสายไฟฟ้า และรวมทั้งมองเห็น รังสีจักรวาล ที่กำลังไหลรินมาจากแดนไกลโพ้น เป็นต้น




สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field) จะแสดงแถบรังสีของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Specturm) ที่มีความยาวคลื่นต่างๆกัน มีสเปกตรัม ตั้งแต่ความยาวคลื่นน้อยไปหามากตามลำดับ สำหรับสิ่งที่ทุกคนเห็น เป็นระดับคลื่น สเปกตรัมที่มองเห็นได้คือแสง (Visible) ดังนั้น ในระดับคลื่นอื่นๆ เช่น อัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) รังสีเอกซ์ (X-rays) รังสีแกมมา (Gamma rays) ต้องเข้าใจเพิ่มเติมว่า คลื่นความถี่เหล่านั้น รวมตัวขึ้นด้วยระดับ โมเลกุล อะตอม และนิวเคลียสของอะตอม เป็นสิ่งต่าง แล้วแผ่รังสีออกมา การแผ่รังสีนั้นสร้างภาพขึ้นในสมองได้ 

บางคนมีตาที่สาม มาแต่กำเนิดโดยไม่ทราบเหตุผล สามารถเห็นไปชั่วชีวิต จนตัวเองรำคาญ เพราะจะเห็นไปทั้งๆที่ไม่ต้องการเห็น เช่นในรอบตัวมองเห็น อะตอมวิ่งวุ่นไปมาเหมือนลูกน้ำสีเงิน เห็นคลื่นแสงวิ่งทะลุผ่านไปมา และเห็นโครงสร้างภายในในร่างกาย เช่น เส้นเลือด โครงกระดูก ของทุกคนที่อยู่ใกล้เคียง

การมองเห็นแบบตาที่สาม สามารถสื่อสารรับรู้สนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า จากสิ่งต่างๆได้อย่างเหลือเชื่อ สามารถออกไปท่องยังที่ต่างๆได้ เช่น เห็นสภาพแวดล้อมบนดาวดวงอื่น สามารถรับรู้ในสภาวะต่างมิติ กล่าวคือ บนดาวดวงนั้นอาจมองไม่เห็นสิ่งใดด้วยตาปกติ แต่การมองเห็นด้วยตาที่สาม สามารถเห็นระบบการดำรงอยู่ของสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น ได้อย่างน่าประหลาดใจ

ในการมองเห็นพลังงาน จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เทพเจ้า (เทพแห่งมณเฑียร เทวสภาโอลิมปัส) สถานที่พิธีกรรมในทางศาสนา  วัดต่างๆ ที่มีคลื่นของพลังงานแห่งความศรัทธา (โลกแห่งวิญญาณ) จะมองเห็นได้เช่นกัน มีหลายกรณีที่มองเห็นผู้ล่วงลับไปแล้ว ขณะอยู่ในระหว่างพิธีกรรมงานศพ โดยผู้ล่วงลับนั้นนั่งอยู่ในพิธีกรรมนั้นๆด้วย บางครั้งยังสามารถสื่อสารได้ แต่เมื่อหมดวาระพิธีกรรมนั้นไปแล้ว อาจไม่สามารถติดต่อได้อีก 

สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้คือ ขอบเขตการรับรู้ และประเภทการรับรู้ ว่ามีข้อจำกัดอย่างไร ในเรื่องต่างๆที่เห็น ส่วนการมองย้อนไปในอดีตสามารถมองย้อนไปได้ การมองไปสู่อนาคตภาพที่เห็นมักมีข้อผิดพลาดบ้างและอาจไม่เกิดขึ้นตามที่เห็น สิ่งนี้พิสูจน์ได้เพราะในอนาคตต่างๆนั้นจะเกิดขึ้นได้ จากหลายประการที่เกี่ยวโยงกัน สร้างผลกระทบมีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นเหตุจากธรรมชาติที่ไม่แน่นอน

ดังนั้นในความคิดทั่วไป ตาที่สามอาจมีความ พิศวงและอัศจรรย์ เหนือมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงเป็นสิ่งปกติที่มีอยู่รอบตัว เพียงผู้อื่นไม่เห็นเท่านั้น ซึ่งจากเหตุการณ์สร้างโดยคลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า อันเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีเหตุอันควรสงสัยใดๆ และสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก การมองเห็นแบบตาที่สาม เมื่อไปเล่าให้ใครฟัง จะไม่มีใครเชื่อ ถ้าเห็นแล้วจงนิ่งเฉยเสีย ผู้ที่เห็นเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจและทราบว่า สิ่งนี้มีจริง ด้วยวิธี ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

26/9/58

ออร่า และ แฟร์ รี่



โดยปกติมนุษย์มีกลุ่ม ไอสีขาวเทา หรือหมอกจางๆเป็นขอบรัศมี ล้อมตัวเองหนาประมาณ 1 ซม. เรียกกันว่า ออร่า (Aura) แท้จริงแล้วเป็นลักษณะสนามพลังไฟฟ้าชีวภาพ (Bio-electric energy field) ของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เนื่องจากในร่างกายมนุษย์ มีไฟฟ้าแบบอ่อนๆ

หัวใจมนุษย์ เป็นแหล่งที่มาของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความสามารถในการสร้างกระแสไฟฟ้าได้ ด้วยตัวเอง เซลล์เหล่านี้แยกอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ได้โดยธรรมชาติ ไหลกระตุ้นหัวใจก่อให้เกิดการหดตัว ผลิตตามปกติที่หัวใจเต้น 72 ครั้งต่อนาที
แรงสัญญาณพลังงานกระแสไฟฟ้านี้ จะสร้างสนามพลังงานไปทั่วร่างกาย ถูกส่งไปกระตุ้นเครือข่ายระบบเส้นประสาท ในรูปแบบของสัญญาณสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยถ่ายทอดข้อมูลจากความรู้สึก ไปยังเส้นประสาทในการควบคุม การทำงานภายในของร่างกาย เส้นประสาทกล้ามเนื้อ สำหรับการเคลื่อนไหว และเส้นประสาทสำหรับการคิด และยังสามารถเดินทางออกสู่ ภายนอกจากร่างกายได้ ในรูปแบบออร่า ไอสีขาวเทา หรือหมอกจางๆ ดังที่กล่าว

แต่คลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ในบางคนมีวงกว้างกว่าปกติ และมีสีต่างกัน จากการเหนี่ยวนำของสิ่งนอกร่างกาย สามารถรับรู้ในลักษณะ ทำให้ใครบางคนสร้างความรู้สึก ในแบบต่างๆเมื่อเข้าใกล้กัน เช่น บางคนอาจรู้สึกว่าการพบ และเข้าใกล้กลายเป็นพลังมากขึ้น มีความหวังมากขึ้นและในแง่ดี เป็นต้น

ความเป็นไปที่ปรากฎขึ้น จากคลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีวงกว้างมากกว่า ออร่าปกติ สามารถอธิบายได้ว่า เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น
รังสีจักรวาล ซึ่งอาจไม่ทราบมาก่อนได้ เพราะตนเองมองไม่เห็น พลังดังกล่าวอยู่ในรูปแบบของอะตอมของ ที่มีความละเอียดอ่อน เป็นลักษณะเฉพาะ หลายประการ เช่น เกิดเป็นวงกว้างรอบตัว เหมือนฟองมีรัศมีขนาดใหญ่ 1-2 เมตร เกิดในบริเวณเฉพาะเหนือศรีษะ ในขนาดเล็กประมาณ 3-10 นิ้ว เป็นวงกลมล้อมรอบ เป็นคล้ายหมวกครอบศรีษะ คล้ายมงกุฎ คล้ายเส้นโค้งปักบนลงบนศรีษะ แต่จะไม่พบในลักษณะที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม




มีสิ่งที่น่าสังเกตว่า โครงสร้างเหล่านั้น จะมีสี (ของแสง) คล้ายคลึงกับกับพลังงานต่างๆ ของสิ่งที่ผู้นั้นเกี่ยวข้อง เช่น จากการนับถือบูชาสิ่งศักดิ์มาช้านาน อาจด้วยมีการปฎิสัมพันธ์ในทางหนึ่งทางใด กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีพลังงานในรูปแบบ สนามแม่เหล็กพลังสูง  เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจเป็นเงื่อนไม่ทราบได้

ในอีกลักษณะที่เกิดขึ้น และพบเป็นจำนวนมาก คือ บุคคลที่ปฎิบัติด้านสมาธิ (ที่มีความยาวนานและสม่ำเสมอ) รอบตัวจะปรากฎพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ออกมาท่วมตัวตลอดเวลา (แม้ไม่ได้นั่งปฎิบัติสมาธิ)  โดยเป็นแสง เกล็ดเล็กๆสีทอง หรือสีเงิน เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งลักษณะดังกล่าวคือ อะตอมที่แผ่ออกมาจากร่างกาย แสงดังกล่าว เป็นการทำงานของประจุไฟฟ้าระหว่างโปรตอนและอิเล็กตรอน ซึ่งเมื่อค่าต่างกัน เกิดขึ้นเป็น ไอออน  ซึ่งแท้จริงเป็นเรื่องตามทฤษฎี กลศาสตร์ควอนตัม แต่ลักษณะของพลังงานที่แผ่ออกมาดังกล่าว ที่บางคนเรียกว่า แฟร์รี่ (Fairy) ในทำนองเดียวกัน เกิดขึ้นกับผลึกแร่ในประเภทศริสตัล
ด้วยวิธี ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

25/9/58

เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

โลกแห่งวิญาณ


สิ่งหนึ่งมักเข้าใจกันว่า รอบๆตัวเราไม่มีอะไร ไม่ว่าบนถนนที่มองไป มีแต่รถรา มีร้านค้า มีผู้คน มีความสว่างไสว ปราศจากความน่าวิตกกังวลใดๆ แม้แต่ในห้องนอนอันแสนสบาย แต่ในสิ่งที่ทับซ้อนอยู่นั้น มีบางอย่างที่มองไม่เห็น ในทุกๆทีโดยทั่วไป ทั้งกลางวันและกลางคืน มีหลายคนพยายามพิสูจน์ทราบ เพื่อ ต้องการเห็นกับตา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าดูเลย

การปรากฎขึ้นโดยเฉพาะที่เรียกว่า เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน นั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ใน โลกแห่งวิญาณ ซึ่งไม่สามารถทำอะไรต่อมนุษย์ได้ ยกเว้นผู้ที่เห็น ย่อมตกใจกลัว และจำติดตาไปนานแสนนาน 

สิ่งที่เห็นนั้นสุดจินตนาการ จะลอยไปมาช้าๆผ่านหน้าไป เป็นระยะๆคล้ายไปมาแบบเลื่อนลอย ไม่มีเป้าหมาย ปราศจากแรงโน้มถ่วง แต่มีความน่ากลัว เช่น มีแต่มือขาด หรือขาขาดเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง หรือมีแต่หัวที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณ ไม่มีสิ่งใดครบส่วนแม้แต่อย่างเดียว และไม่มีประโยชน์อันใดเลย ที่ควรพบกับสิ่งเหล่านี้

แหล่งรวมและแหล่งชุมนุม เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ไม่มีกฎเกณฑ์ที่จะบอกได้ ในบางคนที่สามารถสัมผัสมิติโลกแห่งวิญญาน  อาจพบเห็นขึ้นในบริเวณวัด หรือวิหารที่ทำ พิธีกรรมทางศาสนา หรือสถานที่มีเหตุแห่งความตายในอดีต หรือในบริเวณสถานที่ด้วยเป็นการสะสมความวิกฤต ของพลังงานที่แตกดับ เป็นแรงกดดันไว้ในบริเวณนั้นๆ


สำหรับในวัด หรือวิหารทางพิธีกรรม มีเหตุผลพอจะอธิบายเพิ่มได้ว่า เป็นเงื่อนไขแหล่งชุมนุม เหตุจากเป็นจุดที่จะสามารถรับส่ง พลังงานบางอย่างไปสู่ในมิตินั้นได้ ด้วยกระแสแห่งศรัทธา จึงเป็นช่องทางแหล่งการรับส่งแห่งพลังงานโดยปริยาย อันไม่สามารถสร้างขึ้นได้ แต่เกิดจากธรรมชาติการสะสม  และการส่งมอบพลังงานนั้น มิใช่การให้น้ำ และหรือ การเซ่นไหว้ด้วยอาหาร เช่นมนุษย์บริโภค 

ความหมายช่องทาง กระแสแห่งศรัทธา ไม่มีรูปแบบทางกายภาพ หรือเป็นช่อง หรือโพรงอุโมงค์ใดๆ แต่เกิดจากกลไกของ มวลอะตอมบริสุทธิ์บางชนิด ไม่สามารถอธิบายได้ เหมือนมวลอะตอมเช่นบนสภาพแวดล้อมโลก โดยครอบคลุมไปไม่สามารถมองเห็นได้ (เหมือนมีแต่ไม่มี เหมือนไม่มีแต่มี) อันเป็นเรื่องเข้าใจยาก และมีจุดเกิดขึ้นอย่างแยบยลในความต่างมิติ สามารถสังเกตได้ว่า ทุกครั้งที่เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คนส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกในการรับรู้ ถึงความปิติ (สดชื่น) และความปิตินี้ คือการบ่งชี้อิทธิพลการก่อตัว สะสมมวลอะตอมบริสุทธิ์บางชนิดนั้น ในบริเวณนั้นๆ อันเป็นช่องทางกระแสศรัทธา

การส่งพลังงานไปยังกลุ่มมวลวิญญาณของ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มีเพียงประการเดียว คือ การปรับกายภาพและจิตในมนุษย์ ให้เกิดกระแสพลังงานแบบหนึ่งแบบใด ขึ้นเป็นความถี่ที่เหมาะต่อกัน ความถี่ในพลังงานดังกล่าว ไม่มีความยุ่งยากใดๆ เพียงนึกคิดโดยบริสุทธิ์ถึงความเมตตาเอื้อเฟื้อ ซึ่งอาจผ่านพิธีกรรมหรือไม่ผ่านพิธีกรรม ก็ย่อมส่งผลได้ และในการกระทำดังกล่าวเปรียบเสมือนการส่งอาหารให้ กลุ่มมวลวิญญาณนั้นได้บริโภค เป็นพลังงานต่อระบบในวงจรนั้น จนกว่าจะหมดภาวะในโลกแห่งวิญาณ
 



บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

โลกแห่งวิญญาณ

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


คำว่า Spirit ความหมายทั่วไปอาจหมายถึง จิตวิญญาน ซึ่ง  Society for Psychical Research ให้คำจำกัดความว่า  มาจากกระแสของ จิตสำนึกส่วนบุคคล และในท้ายที่สุดอาจจะได้รับการพิสูจน์จะบ่งบอกว่า มีหรือไม่ อันเป็นเรื่องมนุษย์ที่ยังมีชีวิตในจิตสำนึก จากวิธีคิดและกระทำ

แต่ในที่นี้หมายถึง เรื่องในความเชื่อของจิตในวิญญาณของคนตายไปแล้ว รวมถึงความเชื่อต่อการบูชาบรรพบุรุษในวัฒนธรรม งานศพทางศาสนาบางพิธี และบางส่วนของการเชื่อเรื่องผี และพิธีกรรมเวทมนตร์ รวมถึงการไปในที่บางแห่ง แล้วถูกหลอกหลอน จากวิญญาณ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

ในเรื่องภูตผีหรือผี เรามักจะนึกถึงผีเป็นวิญญาณหลงทาง ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ในโลกแห่งวิญญาน จึงมีนัยสำคัญว่า วิญญาณ หมายถึงสิ่งที่แยกร่างกายจากศพ
เป็นการประกาศของ จิตวิญญาณคนตาย มักจะหมายถึงยังมีปัญญามีสติ และความรู้สึกตอบสนองต่อเหตุการณ์ ในสภาพแวดล้อมได้

ส่วนรูปแบบต่างๆ ของความเชื่อ เช่น ชินโตของญี่ปุ่น ศาสนาแบบดั้งเดิมแอฟริกัน อธิบายมุ่งเน้นไปที่สิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น อันเป็นตัวแทนหรือเชื่อมต่อกับพืชสัตว์ หรือพระเจ้า ในพระคัมภีร์ธรรมทางจิตวิญญาณของคริสเตียน อธิบายว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงพระเจ้า แต่สำหรับในศาสนาพุทธ อธิบายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตายของมนุษย์ ในรูปแบบต่างๆ เช่น เทวดา เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มีปัจจัยเกิดตามสภาวะ ตามบุญกรรมที่กระทำมา เป็นต้น

หัวข้อเกี่ยวกับ บริบททางจิตวิญญาณ และความเลื่อนลอยของ
วิญญาณ ในหลายตำรากล่าวว่า วิญญาณ อาจเป็นเป็นสาร ที่ไม่เป็นเชิงปริมาณหรือพลังงาน จึงไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งบนโลกสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน ของมนุษย์มีระบบชีวิตในแบบ 4 มิติ คือ กว้าง x ยาว x สูง + ด้วยเวลา (ที่ย้อนกลับคืนไม่ได้) ซึ่งมีปริมาณและพลังงานชัดเจน ดังนั้นสิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฎอยู่ในสภาวะ 4 มิติดังกล่าว มนุษย์จึงมองเห็นได้  ต่างกับสภาวะทางวิญญาณ อยู่ในสภาวะมิติที่แตกต่างออกไป จึงมองไม่เห็นต่อกัน

แต่ยังมีข้อขัดแย้ง ในบางคนบอกว่าเคยเห็นวิญญาน (ในกรณีนี้ตัดประเภทจิตหลอนออกไป) การเห็นดังกล่าวแสดงว่าบุคคลนั้นรับรู้ได้จริง อาจเป็นความบังเอิญจากช่องโห่วสภาวะมิติที่ต่างกัน เกิดมีจุดเชื่อมโยงกันแบบหนึ่งแบบใดเกิดขึ้น อย่างก็ตามสิ่งที่พอจะรับฟังได้ คือ ผู้ที่ปฎิบัติวิธีสมาธิ (ในกรณีนี้ตัดประเภทร่างทรงที่มักแอบอ้างออกไป) มักมีข้อมูลเสมอว่า สามารถติดต่อสัมพันธ์ หรือมองเห็นวิญญานผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือสามารถสื่อสัมพันธ์กับเทพเจ้าได้ ในทางหนึ่งทางใดนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ 


สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นของ กลุ่มวิญญาณนั้น คือ มวลพลังงานชนิดหนึ่ง เป็นกลุ่มอะตอมอาจไม่พบในสภาวะบนโลก และเกิดขึ้นหลังจากการสิ้นชีวิตของมนุษย์ทุกคน และจะลอยเหนือร่างเป็นกลุ่มจางบางเบาสีขาวคล้ายควัน โดยเฉพาะขณะสิ้นชีวิตใหม่ๆ คล้ายเป็นสัญญานจิตที่ออกจากร่างไป ในสถานะการณ์ดังกล่าวมวลพลังงานนั้น จะลอยสงบนิ่งในพิธีกรรมนั้นๆ เพื่อรอสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเหนี่ยวนำโยงใยไปในที่อื่นๆ โดยมวลพลังงานนั้น ไม่สามารถกำหนดทิศทางใดๆได้เองเลย  

ในผู้ที่ปฎิบัติวิธีสมาธิ  (หรือไม่ว่าด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดที่คล้ายกัน) หรือเพียงอยู่ในสภาวะคล้ายตกภังค์ กึ่งหลับกึ่งตื่น (และไม่ใช่ฝันตอนหลับ) อาจมีเหตุปรับสร้างรูปแบบทางกายภาพ และจิตไปพร้อมๆกัน เกิดสอดรับความถี่กระแสคลื่น ของมวลพลังงานนั้นโดยบังเอิญ เปลี่ยนสภาวะของตนเข้าสู่มิติอื่น (โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) ทำให้เกิดสภาวะใหม่ขึ้นในขณะนั้น (ชั่วขณะหนึ่ง) จึงสามารถมองเห็นต่อกันได้ และอาจสร้างความตื่นตกใจกันทั้งสองฝ่าย

และสภาพแวดล้อมพิธีกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น ท่ามกลางบทสวดมนต์ บทเพลงแห่งคาถาที่เกิดขึ้น (ไม่ว่าจากลัทธิศาสนาใด) มิใช่ความหมายในคำสวด แต่เป็นค่าความถี่ของคลื่นเสียงนั้น (ที่ถูกเรียบเรียงขึ้นจากคำสวด) กระเพื่อมแทรกไปสู่อีกมิติหนึ่งได้ กระทบยังมวลพลังงานไม่มากก็น้อย คล้ายเป็นการกระตุ้นให้เกิด อำนาจตอบสนองต่อกัน อาจหมายถึง การส่งไปสู่ที่จุติใหม่ หรือรวมถึงวิธีขับไล่ มวลพลังงานที่เป็นวิญญาณนั้น แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่กระทำนั้น ไม่ได้มีผลผลักดัน มวลพลังงานได้ดังที่เข้าใจ แต่มีอำนาจในระบบธรรมชาติในมิตินั้น เปรียบเสมือนสองรูปแบบในหนึ่งเดียว คือ สายใยและแรงโน้มถ่วง เป็นตัวกำหนดทิศทางไว้

วิถีแห่งการส่งหรือขับไล่ มวลพลังงานของกลุ่มวิญญาญ โดยมนุษย์ทั่วไปแล้วเป็นสิ่งเลื่อนลอย มักเข้าใจกันไปเอง เหตุผลที่สามารถชี้ชัดได้คือ สภาวะที่ต่างมิติกันนั้นเอง เพราะแต่ละมิติระหว่างโลกและโลกวิญาณนั้นมีขอบเขต มิฉะนั้นแล้วหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่รอบตัวเรา อาจโผล่ขึ้นให้เห็นต่อเนื่องอย่างน่าตกใจ



บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

ญานวิทยา ความเชื่อแห่งความบริสุทธิ์



คำว่า ญานวิทยา (Epistemology) อาจมีความสับสน ไปสู่จินตนาการสิ่งอัศจรรย์ โดยฉับพลันทันที แต่ในความหมาย คือ การศึกษาความรู้และความเชื่อแห่งความบริสุทธิ์ (ซึ่งอาจแปลความหมายไปถึงธรรมที่เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติแห่งจักรวาล ธรรมชาติในมิติที่ทับซ้อน ซึ่งมีอยู่จริงแต่มองไม่เห็น)  อันเป็นขบวนการที่ต้องพิสูจน์ ต้องเข้าใจในความซับซ้อน ทั้งเหตุและผลบนพื้นฐาน ข้อมูลที่แสวงหา และมักมีข้อกังขามากมาย

ขณะที่การศึกษาความรู้ญาณวิทยา จะต้องพิเคราะห์ดังนี้

1.สิ่งที่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็น และเพียงพอของความรู้ที่ศึกษานั้น ? 
2.สิ่งที่เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลความรู้นั้น ? 
3.โครงสร้างและข้อจำกัดแห่งความรู้ นั้น ? 

ขณะที่การศึกษาของความเชื่อญาณวิทยา เพื่อจุดมุ่งหมายที่จะตอบคำถามว่า

1.วิธีที่จะเข้าใจแนวคิดของเหตุผลนั้น ? 
2.เหตุผลภายในและภายนอกที่อยู่ในใจนั้นเป็นคำตอบ ? 
3.จะทำอย่างไรในการเผยแพร่ความรู้ใหม่ออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะมีคำถามเพิ่มขึ้นในเชิงลึกของโครงสร้างและขอบเขตของความรู้และเหตุผลตามมา ? 

ดังนั้น ญานวิทยา คือความรู้อันประกอบขึ้นด้วยเหตุผล จากความเชื่อแห่งความบริสุทธิ์ โดยขบวนการที่ต้องค้นคว้าในรูปแบบต่างๆ (รวมถึงวิธีค้นหาโดย จิตสมาธิหรือวิธีอื่นใด) มิใช่การคาดคะเนอันปราศจากเหตุแห่งความจริง แต่การพบความจริงที่จะเป็นข้อพิสูจน์นั้น เป็นการปรากฎขึ้นเป็นลักษณะเฉพาะ โดยเฉพาะเรื่องธรรมชาติในจักรวาล ธรรมชาติในมิติที่ซับซ้อน ซึ่งอาจพิสูจน์ยากในแง่การรับรู้แบบทั่วไป ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

อภิปรัชญา ภาวะเหนือธรรมชาติ

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


ในคำว่า Metaphysics ซึ่งเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งของปรัชญา ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ (Reality Essence) ซึ่งรวมทั้งชีวิต โลก และภาวะเหนือธรรมชาติ เช่น พระเจ้า เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

มีปรัชญาอีกสาขาหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ อภิปรัชญาคือ Ontology แปลว่า ภววิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความมี (being) ศาสตร์ทั้งสองนี้มีความเกี่ยวข้องกันเพราะว่า Metaphysics คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริง หรือสารัตถะว่ามีจริงหรือไม่ Ontology ก็ศึกษาเรื่องความมีอยู่ของความแท้จริง หรือสารัตถะนั้นเป็นจริงอย่างไรโดยทั่วไป ถือว่าศาสตร์ทั้งสองนี้ศึกษาเรื่องเดียวกัน

คำว่า อภิปรัชญา บัญญัติโดย พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์  เมื่อพิจารณาตามรูปศัพท์ อภิปรัชญามาจากคำว่า “อภิ” หมายถึง ความยิ่งใหญ่ สูงสุด เหนือสุด และปรัชญาหมายถึงความรู้อันประเสริฐเมื่อรวมเข้าด้วยกัน “อภิปรัชญา” จึงหมายถึง ปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการเห็นทั่ว ๆ ไป หรือความรู้ที่อยู่นอกเหนือ การรู้เห็นใด ๆ แต่สามารถรู้และเข้าใจด้วยเหตุผล  อันรวมไปถึงสิ่งที่เป็นรูปแบบของ สิ่งที่ปรากฎขึ้นในสภาวะต่างมิติ

อภิปรัชญาเป็นปรัชญาบริสุทธิ์สาขาแรกที่เกิดขึ้นมาในโลกเกิดจากความประหลาดใจ และความสงสัยของมนุษย์สมัยโบราณ ที่มีต่อ ปรากฏการณ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจากความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ต้องสืบหาสาเหตุของความเป็นจริงเหล่านั้น ซึ่งคำตอบที่ได้อาจถูกบ้างผิดบ้างจนในที่สุดก็ได้คำตอบที่ถูกต้อง จากคำตอบที่ถูกต้องนี้ คือความรู้ทางอภิปรัชญา 

แม้จะแยกย่อยเป็นจำนวนมาก แต่อยู่ในขอบเขตของสาขาใหญ่ๆ 3 สาขา ของอภิปรัชญา คือ สสารนิยม จิตนิยม และธรรมชาตินิยม นอกจากอภิปรัชญา 3 สาขาใหญ่แล้ว ยังมี ภววิทยาซึ่งเป็นสาขาที่สำคัญของอภิปรัชญา ซึ่งในศาสตร์ของภววิทยานี้ แยกออกเป็น 3 ทฤษฎี คือ เอกนิยม ทวินิยม และพหุนิยม อภิปรัชญาถือว่าเป็นหลัก ของโครงสร้างของวิชาปรัชญา ถ้าขาดอภิปรัชญาเสียแล้ว ปรัชญาก็มีไม่ได้ ดังนั้นในการนำเอาปรัชญาไ ปประยุกต์ใช้จำเป็นต้องยึดโครงสร้างอภิปรัชญาเป็นหลักสำคัญ 


References 
อดิศักดิ์ ทองบุญ, คู่มืออภิปรัชญา, ราชบัณฑิตยสถาน ISBN 974-575-939-2 รศ.พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (และคณะ).ปรัชญาการศึกษา EF703 (603) กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey

20/9/58

รังสีจักรวาลขั้นพลังสูง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


โครงการ Muon and Neutrino Detector Arrays เป็นหลักฐานของหลักการในการตรวจสอบอนุภาครังสีจักรวาล โดยงบประมาณจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโก ถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาสูงสุดของเม็กซิโก ที่ 13,500 ฟุต และกล้องโทรทรรศน์ ชั้นบรรยากาศ Cherenkov ได้ตรวจพบรังสีจักรวาล (รังสีแกมม่า)ในระยะพันล้านปีแสง จากแหล่งกาแล็กซีในเวลาเพียงไม่กี่นาที

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
The Miracle Array ในเม็กซิโก ด้วยความร่วมมือจากสถาบันวิทยาศาสตร์ ทั่วโลก

ภาพแสดงอนุภาคที่เกิดจากพลังงานสูงรังสีแกมมา (สีแดง) มาจากเนบิวล่าปู รังสีแกมม่าที่มีความสว่างอยู่บนท้องฟ้า ภาพเอ็กซ์เรย์ของเนบิวล่าจุดตรงกลางคือ พัลซาร์ (สีฟ้า) ภาพแสงจริงและอินฟราเรดรวมกันของ การขยายตัวซูเปอร์โนวา Composite image of Crab nebula : NASA, ESA, CXC, JPL-Caltech, J. Hester and A. Loll (Arizona State Univ.), R. Gehrz (Univ. Minn.), and STSCI

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
Composite image : ESA, CXC, JPL-Caltech, J. Hester and A. Loll (Arizona State Univ.), R. Gehrz (Univ. Minn.), and STSCI

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่
ในประเทศอาร์เจนตินา


ความรู้โบราณในวิชา เมตาฟิสิกส์ (Metaphysics)

หมายถึงการอธิบายในรูปแบบ อภิปรัชญาภาวะเหนือธรรมชาติ ที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ ในสาขา อภิปรัชญาของจักรวาล กล่าวถึงการแบ่งโครงสร้าง พลังงานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ของแหล่งกำเนิดโครงสร้างพื้นฐานธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล รวมถึง ญาณวิทยา อันเป็นทฤษฎีของความรู้ เชื่อมต่อความจริง ความเชื่อและเหตุผล อันบริสุทธิ์ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขต ของวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ  เกิดจากสิ่งต่างๆ 5 แหล่ง คือ

1.พลังจากจักรวาล เช่น จากดาราจักร หรือ กลุ่มดาว หรือ ดวงหนึ่งดวงใด เช่น รังสีจักรวาลขั้นพลังสูง
2.พลังจากเทพ องค์หนึ่งองค์ใด หรือหลายองค์ ที่บุคคลนั้นๆ นับถือบูชา มาอย่างช้านาน เช่น เทวสภาโอลิมปัส (เทพกรีก)  เทพแห่งมณเทียร (เทพฮินดู)
3.พลังจากเหนือพิภพ ต้องตั้งอยู่บนพื้นโลก เช่น ภูเขาไฟ วัตถุขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธา เช่น วัด หรือ สถานศักดิ์สิทธิ์โบราณ
4.พลังจากใต้ดิน ที่สะสมมายาวนาน จากกลไกของโลกหรือจากการเชื่อมโยง มาจากที่หนึ่งที่ใด แต่ได้สะสมไว้ในใต้พื้นผิว

5.พลังจากตนเอง ซึ่งอยู่ที่จักระ 1


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล ประเภทรังสีจักรวาล ขั้นพลังสูง 
(Ultra-high-energy cosmic rays)


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
กาแล็คซี่ Messier 81 ห่างจากโลก 11.8 ล้านปีแสง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
เนบิวล่า Lagoon ห่างจากโลก 4,000 ปีแสง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
กาแล็คซี่ Andromeda ห่างจากโลก 2.5 ล้านปีแสง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
กาแล็คซี่ Antennae ห่างจากโลก 60 ล้านปีแสง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
W33 ห่างจากโลก 13,000 ปีแสง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
เนบิวล่า Medusa ห่างจากโลก 1,500 ปีแสง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
กระจุกดาว Jewel Box ห่างจากโลก 6,500 ปีแสง

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล
กระจุกดาว Omega Centaur ห่างจากโลก 16,000 ปีแสง



บทความรู้โดย Cosmos Odyssey