ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ประสงค์ให้คิดวินิจฉัย ว่าควรเชื่อ หรือไม่เชื่อ
วันนี้ผู้คนกว่าครึ่งโลกเชื่อไปแล้วว่า มีมนุษย์ต่างดาวทั้งๆที่ยังไม่มีหลักฐานประจักษ์แจ้ง แบบเห็นตัวเป็นๆ บางทีเห็นคลิป UFO บนอินเตอร์เนทก็เชื่อไปแล้วไม่น้อย แต่การเชื่อหรือไม่เชื่อ สามารถวินิจฉัยในแง่วิทยาศาสตร์ได้ไม่ยาก แล้วผู้อ่านตัดสินใจเอง เป็นสิ่งที่มีเหตุผลว่าควรเชื่อ หรือไม่เชื่อ หรือจะเปลี่ยนใจเมื่ออ่านจบแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ประสงค์ให้ให้คิดวินิจฉัย จากเหตุผลอย่างน้อย 4 ประการ ดังนี้
1.จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ มีความใหญ่ไพศาล เกินกว่าจิตนาการ ด้วยขนาดประมาณ 14 พันล้านปีแสง มีกาแล็คซี่ต่างๆมากกว่า 200 พันล้านกาแล็คซี เพียงขนาดทางช้างเผือก ที่เราอาศัยอยู่นี้มีความกว้างใหญ่ 100,0000 ปีแสง และมีระบบสุริยะอื่นๆ บรรจุอยู่ไม่น้อยกว่า 300 ล้านระบบ ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้จาก จำนวนที่มากมายมหาศาลของระบบสุริยะอื่น
** ถ้าอยากทราบทั้งจักรวาล หาจำนวนโดยสังเขป เอาจำนวนกาแล็คซี่ ทั้งจักรวาล 200 พันล้านกาแล็คซี X ด้วยดาว 100 ล้านดวง ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยดาว อัตราต่ำที่สุดในแต่กาแล็คซี่ = จะได้รับคำตอบจำนวนระบบสุริยะที่มีอยู่ในจักรวาล)
2.หลายกรณีที่เรามักจะคิด จากสภาพแวดล้อมแบบบนโลก แบบความเป็นอยู่ของเราเองเป็นที่ตั้ง แต่ในสภาพแวดล้อมต่างดาว เราไม่เคยสัมผัส ส่วนใหญ่มักคล้อยตามจิตนาการ ในภาพยนต์ที่สร้างขึ้น และบางกรณีอาจบวกไปกับ ความเชื่อของศาสนาด้วย ซึ่งอาจะมีความเหมือนหรือไม่เหมือนก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องเข้าใจว่า โลกเรามีระบบมนุษย์ดำรงชีพ ด้วยเลือดและเนื้อเยื่อ รับพลังงานโดยการบริโภคน้ำอาหาร และการหายใจ และสิ่งรอบตัวเป็นระบบที่มี 4 มิติคือ มีขนาด กว้าง X ยาว X สูง + ด้วยเวลา = 4 มิติ อันเป็นลักษณะเฉพาะ ที่ทุกสิ่งจะติดยึดกับเวลาย้อนถอยไม่ได้
**ในทางวิทยาศาสตร์ ได้ทำการพิสูจน์ทราบว่า ในสภาพแวดล้อมของจักรวาลนั้น มีไม่น้อยกว่า 13 มิติ (แม้ว่าเป็นทฤษฏีที่ยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ส่วนใหญ่ยอมรับ ชุดสมการดังกล่าว) ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ สิ่งทรงปัญญาอื่น อาจอาศัยในมิติที่ต่างจากเราออกไป โดยเรามองไม่เห็นและไม่ทราบ
3.ตลอดเวลากว่า 50 ปี มีนักวิทยาศาสตร์ ได้พยายามจะไขปริศนานี้ ในหลายโครงการ มีโครงการที่โดดเด่นหประกาศชัดเจน คือ โครงการของ SETI คือ การค้นหาสิ่งทรงปัญญา (Search for Extra-Terrestrial Intelligence) เพื่อค้นหาหลักฐานของต่างดาว ตรวจจับการส่งสัญญาณจากอวกาศ (คลื่นวิทยุ,คลื่นไมโครเวฟ,มีความสามารถในรัศมี 80 ปีแสง) ที่อาจส่งมาจากอารยธรรม จากดาวเคราะห์ดวงอื่น
เป็นความร่วมมือกัน ของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก มากกว่า 500 คน (จาก 80 ประเทศ) และได้ประดิษฐ์คิดค้น วิธีการเครื่องมือตรวจสอบ และภาษาคณิตศาสตร์ ที่จะต้องใช้ในการสื่อสารกับอารยธรรมอื่น และได้พบสัญญานครั้งหนึ่งส่งมาจากกลุ่มดาว ที่ห่างไกลสัญญานนี้ รู้จักกันในชื่อว่า สัญญาน Wow ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ สิ่งทรงปัญญาอื่น ทีมีความสามารถไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ ได้พยายามค้นหาอารยธรรมอื่นเช่นกัน
![]() |
โครงการของ SETI คือ การค้นหาสิ่งทรงปัญญา (Search for Extra-Terrestrial Intelligence) |
4.ด้วยหลักเกณฑ์สมการที่เรียกว่า Drake Equation ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ คิดโดย ดร. แฟรงก์เดรก (นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน) เมื่อปี ค.ศ. 1960 เพื่อประมาณการความเป็นไปได้ ของจำนวนอารยธรรมในทางช้างเผือก โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ในรูปแบบของสมการทางคณิตศาสตร์ เป้าหมายคือ จำนวนอารยธรรมต่างดาว ที่มีความสามารถติดต่อกันได้ทางคลื่นวิทยุ จากสมการนี้ระบุว่าสิ่งทรงปัญญาในทางช้างเผือกควรมี อารยธรรมอื่นอีกอย่างน้อย 40 อารยธรรม จึงเป็นทิศทางในความเป็นไปได้แง่วิทยาศาสตร์ ที่เราอาจพบ สิ่งทรงปัญญาอื่น
บทความรู้โดย Cosmos Odyssey
SunflowerCosmos.org
SETI - Search for Extra-Terrestrial Intelligence
Drake Equation for the SETI - Institute SETI
SETI - Search for Extra-Terrestrial Intelligence
Drake Equation for the SETI - Institute SETI