3/10/58

ตาที่สาม


เป็นแนวคิดที่ลึกลับและความลับหมายถึง การมองด้วยตาที่สาม หรือตาด้านใน มิใช่ด้วยสายตาปกติธรรมดา เป็นเรื่องทางทางจิตวิญญาณบางอย่าง มีในบันทึกของ ฮินดู ตาที่สามหมายถึง เป็นจักกระศูนย์รวมแห่งพลังจิตวิญญาน (Ajna) ในร่างมนุษย์ และมีคำอธิบายด้าน เทวปรัชญา (Theosophy) แสดงความลึกซึ่ง หมายถึง "ความรู้เกี่ยวกับพระเป็นเจ้า" ที่มุ่งเข้าถึงพระเป็นเจ้าโดยตรง โดยไม่ผ่านการอาศัยคัมภีร์หรือผู้รู้อื่นๆ โดยให้ความสำคัญกับความรู้ หรือสร้างปัญญาที่นำไปสู่การหลุดพ้นเฉพาะบุคคล อันเป็นความเข้าใจในสภาวะของจักรวาลเอง แบบ ญานวิทยา (Epistemology) อันเป็นความเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ 

เพื่อสร้างช่องทางเชื่อมต่อ สิ่งอื่นใดในจักรวาลกับมนุษยชาติ หรือพระเป็นเจ้า (เทพเจ้า) เข้าด้วยกันกับมนุษย์ อันเป็นการมองเห็นและสื่อสารปฎิสัมพันธ์ในด้านเทวปรัชญา มีจุดมุ่งหมายที่จะสืบหาต้นกำเนิด ของพระเป็นเจ้า (เทพเจ้า) หรือสิ่งอื่นใดในจักรวาล ด้วยตาที่สาม โดยธรรมชาติจากความลึกลับที่บุคคลทั่วไปมองไม่เห็น

ที่มาของการสร้างบทบาท ตาที่สามของมนุษย์นั้น เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal gland) เป็นต่อมไร้ท่อเล็กๆ ในสมองหรืออยู่ด้านล่างสุด ของโพรงสมอง ประกอบด้วยเซลล์ 2 ประเภท คือเซลล์ไพเนียล (Pinealocytes) และเซลล์ไกลอัน (Glial cell) มีหน้าที่ การรับตัวกระตู้นการมองเห็น ด้วยการรับแสงด้วยความไว (Visual nerve stimuli) ทั่วไปจึงเรียกว่าเป็น ตาที่สาม และจะทำหน้าที่สูงสุด ขณะช่วงมนุษย์กำเนิด และขณะมนุษย์กำลังจะตาย 

ลัทธิเต๋า และหลายศาสนานิกายจีนแบบดั้งเดิม และคริสเตียน (บาดหลวงริชาร์ดโรห์) มีการสอนฝึกในเรื่องตาที่สาม เป้าหมายคือ ช่วยรับรู้ การสั่นสะเทือน (Vibration) ของจักรวาล ช่วยให้เกิดความมั่นคงและความรู้ลึกในจิตสำนีก อย่างถูกต้องเฉพาะตน 

การสั่นสะเทือนของจักรวาล เป็นคำเปรียบที่อาจเข้าใจยาก หากผู้นั้นยังไม่สามารถ ใช้ตาที่สามได้ การเกิดขึ้นในเรื่องตาที่สามนี้ ด้านทางวิทยาศาสตร์ สามารถอธิบายได้ว่า ต่อมไพเนียล ที่อยู่ในสมองนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นการรับแสง (ภาพ) โดยไม่ผ่านดวงตา ดังนั้นการเห็นภาพ คือการเห็นจากสมอง (และเกิดขึ้นในสมอง) ต่างจากที่เรามองตามปกติ ภาพที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการสั่นสะเทือน ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า อันประกอบด้วยระดับโมเลกุล อะตอม และนิวเคลียสของอะตอม  จึงสามารถสร้างภาพขึ้นได้ จากต่อมไพเนียลที่มีความไวแสงฉายเป็นภาพในสมอง ทั้งนี้จะมีความละเอียดของภาพต่างกัน 

การขยายความ เรื่องการสั่นสะเทือนของจักรวาล นั้นคือ การสั่นสะเทือนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field) ซึ่งปรากฎขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา ไม่ว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือ คลื่นเสียงจากวิทยุ โทรทัศน์ หรือกระแสไฟฟ้าที่วิ่งอยู่ในสายไฟมีเปลือกหุ้ม รวมทั้ง การสั่นสะเทือนที่ห่างออกไปในจักรวาล ที่เป็นรังสีพลังสูง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแต่เรามองไม่เห็น การรับรู้แบบตาที่สาม คือ เห็นแถบรังสีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Specturm) กล่าวคือ เห็นคลื่นรอบโทรศัพท์มือถือ เป็นละอองฟุ้งๆ เห็นอะตอมที่เป็นประจุไฟฟ้าวิ่งในสายไฟฟ้า และรวมทั้งมองเห็น รังสีจักรวาล ที่กำลังไหลรินมาจากแดนไกลโพ้น เป็นต้น




สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field) จะแสดงแถบรังสีของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Specturm) ที่มีความยาวคลื่นต่างๆกัน มีสเปกตรัม ตั้งแต่ความยาวคลื่นน้อยไปหามากตามลำดับ สำหรับสิ่งที่ทุกคนเห็น เป็นระดับคลื่น สเปกตรัมที่มองเห็นได้คือแสง (Visible) ดังนั้น ในระดับคลื่นอื่นๆ เช่น อัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) รังสีเอกซ์ (X-rays) รังสีแกมมา (Gamma rays) ต้องเข้าใจเพิ่มเติมว่า คลื่นความถี่เหล่านั้น รวมตัวขึ้นด้วยระดับ โมเลกุล อะตอม และนิวเคลียสของอะตอม เป็นสิ่งต่าง แล้วแผ่รังสีออกมา การแผ่รังสีนั้นสร้างภาพขึ้นในสมองได้ 

บางคนมีตาที่สาม มาแต่กำเนิดโดยไม่ทราบเหตุผล สามารถเห็นไปชั่วชีวิต จนตัวเองรำคาญ เพราะจะเห็นไปทั้งๆที่ไม่ต้องการเห็น เช่นในรอบตัวมองเห็น อะตอมวิ่งวุ่นไปมาเหมือนลูกน้ำสีเงิน เห็นคลื่นแสงวิ่งทะลุผ่านไปมา และเห็นโครงสร้างภายในในร่างกาย เช่น เส้นเลือด โครงกระดูก ของทุกคนที่อยู่ใกล้เคียง

การมองเห็นแบบตาที่สาม สามารถสื่อสารรับรู้สนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า จากสิ่งต่างๆได้อย่างเหลือเชื่อ สามารถออกไปท่องยังที่ต่างๆได้ เช่น เห็นสภาพแวดล้อมบนดาวดวงอื่น สามารถรับรู้ในสภาวะต่างมิติ กล่าวคือ บนดาวดวงนั้นอาจมองไม่เห็นสิ่งใดด้วยตาปกติ แต่การมองเห็นด้วยตาที่สาม สามารถเห็นระบบการดำรงอยู่ของสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น ได้อย่างน่าประหลาดใจ

ในการมองเห็นพลังงาน จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เทพเจ้า (เทพแห่งมณเฑียร เทวสภาโอลิมปัส) สถานที่พิธีกรรมในทางศาสนา  วัดต่างๆ ที่มีคลื่นของพลังงานแห่งความศรัทธา (โลกแห่งวิญญาณ) จะมองเห็นได้เช่นกัน มีหลายกรณีที่มองเห็นผู้ล่วงลับไปแล้ว ขณะอยู่ในระหว่างพิธีกรรมงานศพ โดยผู้ล่วงลับนั้นนั่งอยู่ในพิธีกรรมนั้นๆด้วย บางครั้งยังสามารถสื่อสารได้ แต่เมื่อหมดวาระพิธีกรรมนั้นไปแล้ว อาจไม่สามารถติดต่อได้อีก 

สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้คือ ขอบเขตการรับรู้ และประเภทการรับรู้ ว่ามีข้อจำกัดอย่างไร ในเรื่องต่างๆที่เห็น ส่วนการมองย้อนไปในอดีตสามารถมองย้อนไปได้ การมองไปสู่อนาคตภาพที่เห็นมักมีข้อผิดพลาดบ้างและอาจไม่เกิดขึ้นตามที่เห็น สิ่งนี้พิสูจน์ได้เพราะในอนาคตต่างๆนั้นจะเกิดขึ้นได้ จากหลายประการที่เกี่ยวโยงกัน สร้างผลกระทบมีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นเหตุจากธรรมชาติที่ไม่แน่นอน

ดังนั้นในความคิดทั่วไป ตาที่สามอาจมีความ พิศวงและอัศจรรย์ เหนือมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงเป็นสิ่งปกติที่มีอยู่รอบตัว เพียงผู้อื่นไม่เห็นเท่านั้น ซึ่งจากเหตุการณ์สร้างโดยคลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า อันเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีเหตุอันควรสงสัยใดๆ และสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก การมองเห็นแบบตาที่สาม เมื่อไปเล่าให้ใครฟัง จะไม่มีใครเชื่อ ถ้าเห็นแล้วจงนิ่งเฉยเสีย ผู้ที่เห็นเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจและทราบว่า สิ่งนี้มีจริง ด้วยวิธี ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey