14/9/58

ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล



เผยโฉมศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล

ชนชั้นสูงนำมาใช้ในหลายยุค อย่างแพร่หลายและมิใช่ศาสตร์ใหม่ เป็นศาสตร์เก่าแก่ได้ถูกพัฒนาโดยนักปราชญ์โบราณ ราชวงศ์อียิปต์ ราชวงศ์กรีกและในศาสนาฮินดูโบราณ จนกระทั่งนักฟิสิกส์ในปัจจุบัน ที่มีความรู้ในด้านพลังลึกลับ ยังค้นคว้าสืบเนื่องกัน อันมีส่วนเกี่ยวข้องกับ พลังจักรวาลอันไกลโพ้นเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในหลายรูปแบบอย่างอัศจรรย์  โดยมีหลักฐานบันทึกต่อกันมาช้านาน และการนำมาใช้กับเครื่องประดับร่างกายและของใช้ประจำตัว ปัจจุบันยังใช้ในราชวงศ์ยุโรป โดยสังเกตเห็นได้เสมอ ทั้งนี้มองผิวเผินอาจดูว่าเพื่อความสวยงาม แต่แท้จริงมีเหตุผลบางอย่างแฝงอยู่อย่างลึกซึ้ง 

1.อัญมณีฟาโรห์ทุตอังค์อามุน แห่งอียิปต์ราชวงศ์ที่ 18 สัญญลักษณ์อำนาจชีวิตหลังความตาย (1332–1323 ปีก่อนคริสตกาล)
2.อัญมณี แลพิสแลซูลี ด้วงปีกแข็งสัญลักษณ์แห่งความหวัง (อียิปต์โบราณก่อนราชวงค์)
3.อัญมณี อเมทิส แมวเทพธิดาสัญลักษณ์แห่งความสงบสุขและก้าวหน้า (อียิปต์โบราณก่อนราชวงค์)

1.อัญมณีคริสตัล กรีกโบราณ ศตวรรษที่ 4-5, สัญลักษณ์พลังและอำนาจแห่งความสามารถ
2.อัญมณีคาลซิโดนี กรีกโบราณ ศตวรรษที่ 4-5, สัญลักษณ์พลังแห่งการนำโชคอัศจรรย์
3.อัญมณี อเมทิส เทพอพอลโล กรีกโบราณ ศตวรรษที่ 4, สัญลักษณ์พลังแห่งความสามัคคีสว่างไสว และแรงแรงบันดาลใจศิลปะและดนตรี

1.เครื่องประดับอเมทิส รัดเกล้าอเมทิส  เจ้าหญิงเมตเต-มาริต มกุฎราชกุมารีแห่งนอร์เวย
2.เครื่องประดับ อเมทิส ประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีแมรี สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร พระอัครมเหสีในพระเจ้าจอร์จที่ 5
3.เครื่องประดับรัดเกล้าอเมทิส สมเด็จพระราชินีอเล็กซานแห่งเดนมาร์ก

อัญมณีบำบัดพื้นฐานแพทย์ทางเลือก

ในประเทศไทยโดยสำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้เคยจัดให้มีการบรรยาย เรื่อง “อัญมณีบำบัด" โดย หม่อมหลวงอัคนี นวรัตน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2548 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมเบญจกูล กรมพัฒน์ฯ จึงนับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับ ผู้ที่สนใจในศาสตร์แห่งอัญมณีบำบัด คงมิใช่แต่ความเชื่อไร้เหตุผล 

ประเด็นสำคัญคือ อัญมณีบำบัดมีเรื่องแร่เป็นองค์ประกอบ ดังนั้นเบื้องต้นต้องเข้าใจวิชาแร่วิทยา ทราบกลไกภายในโครงสร้างของแร่ ที่สร้างประจุไฟฟ้า พลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่างไร  ต้องรู้จักองค์ประกอบของธาตุทางเคมี ว่าการแผ่รังสีมีผลด้านใดต่อมนุษย์ สิ่งเหล่านี้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สามารถพิสูจน์ได้ ในห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์​ จึงทำให้ศาสตร์นี้มีข้อจำกัด ต่อการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีเหตุผลชัดเจน ที่จะนำไปสู่ ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล

ความสามารถของพลังอัญมณีแห่งจักรวาล

พลังอัญมณีแห่งจักรวาล ต่างออกไปจากอัญมณีบำบัด เพราะในขั้นสูงสามารถการเชื่อมตรงกับกระแส หรือเส้นใยอนุภาคพลังงาน สนามแม่เหล็กไฟฟ้า จากรังสีจักรวาลกับมนุษย์ หรือ สามารถเชื่อมโยงแหล่งพลังงาน จากที่หนึ่งที่ใด อันเป็นลักษณะเฉพาะต่อบุคคลเพิ่มเติมได้โดยต้องเข้าใจเรื่อง คุณสมบัติพลังอัญมณีแห่งจักรวาล เพื่อประสิทธิภาพขั้นสูง จำเป็นต้องทราบถึงกลศาสตร์ควอนตัม ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในเชิงจักรวาลวิทยา อันเป็นเรื่องพลังจักรวาล หรือต้องการในบางเรื่อง ที่แตกต่างออกไป เช่น ด้านพลังจิตจากเทพเจ้า ก็ควรทราบพิ้นฐานในความเป็นมา ของประวัติต่างๆ เช่น เทวสภาโอลิมปัส (เทพเจ้ากรีก)  เทพแห่งมณเฑียร (เทพเจ้าฮินดู) เป็นต้น เพราะพลังต่างๆนั้นคุณสมบัติเฉพาะ


ภาพจากห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์ แสดงอะตอมไฮโดรเจน เป็นอะตอมที่มีค่าประจุไฟฟ้าเป็นกลางประกอบด้วยโปรตอนที่มีประจุบวกหนึ่งตัว และอิเล็กตรอนที่มีประจุลบหนึ่งตัวโคจรอยู่โดยรอบนิวเคลียสด้วยแรงคูลอมบ์ อะตอมไฮโดรเจนถือว่ามีประมาณ 75% ของธาตุ (Baryonic) ทั้งมวลของจักรวาล


ศาสตร์พลังอัญมณีแห่งจักรวาล มีหัวข้อเพื่อความเข้าใจดังนี้  

1. ออร่า หรือ สนามพลังไฟฟ้าชีวภาพ 

ออร่ามีหลายประเภท แน่นอนว่ามิใช่ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ มีที่มาต่างกันออกไป อาจเรียกได้ว่าเป็น รัศมีที่แผ่อำนาจสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ออกมาบริเวณรอบๆสิ่งนั้น มิเพียงแต่บนร่างกายมนุษย์ อาจแผ่รังสีบนอาคาร ภูเขา ต้นไม้ แม้กระทั่งอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น สมาร์ทโฟน หรือจากแร่ และหิน ทุกชนิด แต่การแผ่รังสีนั้นจะมีประโยชน์หรือมีโทษ ถึงอยู่กับที่มาขององค์ประกอบของธาตุ การแผ่รังสีนั้นๆ

ในระบบมนุษย์นั้น ร่างกายเจริญเติบโดโดยได้รับสารอาหาร และทำให้มีแรง(พลังงาน) เรียกว่า Meta bolie energy ภาพที่ปรากฎจะมีเงาล้อมร่างกายมนุษย์ หรือวัตถุเป็นรูปกลุ่ม ไอสีขาวเทา หรือหมอกจางๆเป็นขอบรัศมี และบางคนเรียกว่า ออร่า (Aura) แท้จริงแล้วเป็นลักษณะสนามพลังไฟฟ้าชีวภาพ (Bio-electric energy field) ซึ่งเกิดขึ้นล้อมรอบๆสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ในหลายครั้งที่มีภาพถ่ายจากกล้องถ่ายภาพทั่วไปไม่สามารถเก็บค่าแสงออร่ามนุษย์ หรือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะมีค่าความถี่ของคลื่นแสงต่างกัน และกล้องถ่ายภาพทั่วไปมิได้ออกแบบมาเพื่อสิ่งนี้ แต่ที่พบว่าบางภาพเกิดลักษณะเดียวกันนี้ กับมนุษย์และบริเวณพิธีกรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือวัตถุที่บูชาต่างๆ เป็นเพียงผลกระทบของแสง หรือมุมแสงจากการถ่ายภาพ เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น มิใช่รูปแบบพลังงานใดๆตามที่เข้าใจกัน


ภาพถ่ายรังสีไฟฟ้า หรือออร่ามนุษย์ โดย Semyon Kirlian & Valentina Kirlian  รายงานในวารสาร Russian Journal of Scientific เรียกว่า Kirlian photography

สำหรับในกรณี ออร่าประเภทที่เกิดผล จากรังสีของผลึกแร่อัญมณี กับร่างกายมนุษย์ จะมีความเข้มและพลังสูงกว่าในออร่าแบบสนามพลังไฟฟ้าชีวภาพทั่วไป ดังนั้นจึงจะสามารถนำมาปรับสภาพ และช่วยฟื้นฟูระบบมนุษย์ได้ หากนำมาเชื่อมต่อกับ พลังชีวิตจักรวาล (Life force energy) จะยิ่งทำให้มีพลังสูงอย่างยิ่งยวด โดยไม่เป็นอันตรายใดๆแม้แต่น้อย สิ่งนี้ตามนุษย์มองไม่เห็น ยกเว้นผู้ที่ได้รับการฝึก หรือผู้ที่เชื่อมต่อฝึกฝน พลังอัญมณีแห่งจักรวาล สามารถสัมผัสถึงรูปแบบกระแสคลื่นไฟฟ้าไหลปะทะเข้าตนเอง และการสั่นสะเทือน ของคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บางคนสามารถเห็นแสงแบบต่างๆ ในระดับความละเอียดต่างกันไป 

2. จักระ หรือ จุดหมุนวนพลังงานในร่างกาย

ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์โบราณ ไม่สามารถทราบจุดกำเนิดว่ามีมาเมื่อใด และยอมรับกันทั่วไป เช่น ฤาษีในอินเดีย  ฮั่นชี่กง กังฟูเส้าหลิน ในจีนและทิเบต สำหรับในประเทศไทย ปรากฎในคำภีร์ใบลานของสมเด็จพระสังฆราชฯ (สุก ไก่เถื่อน) ครั้นสมัยอยุธยา โดยจำนวนจักระในร่างกายมนุษย์ มีจำนวนมากนับร้อย มีจุดหลัก จุดรอง และจุดย่อย แต่ละจุดอาจเกิดขึ้นแลัวหายไปและเกิดขึ้นใหม่ได้ สาเหตุเช่นนี้ เนื่องจากจักระ คือ จุดหมุนวนพลังงาน เมื่อไม่เกิดการใช้งานจะมีลักษณะฝ่อตัวลง หากมีการใช้งานจะเปล่งอนุภาคมวลพลังงานออกมา และมีขนาดใหญ่ ส่งผลต่อระบบร่างกายให้สมบูรณ์ จากค่าสนามพลังไฟฟ้า ซึ่งไปช่วยการกระตุ้นเซลล์ภายในร่างกาย อันมีจุดสำคัญ 7 ตำแหน่ง คือ

จักระที่ 1 บริเวณใต้ก้น จักระที่ 2 บริเวณใต้ท้องน้อยจักระที่ 3 บริเวณ สะดือหน้า และหลังจักระที่ 4 บริเวณหน้าอก หน้า และหลัง  จักระที่ 5 บริเวณคอ จักระที่ 6 บริเวณหน้าผาก จักระที่ 7 บริเวณกระหม่อม (ตรงกับจักระที่ 1)



ในร่างกายมนุษย์มีจักระที่มีพลังงานแสดงออกเป็นรังสี มีจำนวนมากหรือน้อยไม่เท่ากัน แต่มีจุดสำคัญ 7 ตำแหน่ง

การที่รู้จักตำแหน่งของจักระ เปรียบเสมือนทำให้ทราบจุดเชื่อมโยงของพลังงาน ไปในตำแหน่งที่ถูกต้อง และกรณีที่บริเวณนั้นมีเส้นประสาท เป็นจำนวนมากและผิวบาง เช่น ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ ปลายนิ้วเท้า ระหว่างการสัมผัสพลัง บางคนรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยตนเอง บางคนอาจใช้เวลาฝึกฝนระยะหนึ่งเพื่อความคุ้นเคย บางคนอาจได้ยินเสียงการสั่นสะเทือนของคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ และในบางคนสามารถมองเห็นละอองแสงวิ่งไปมามากมาย แต่ขณะเดียวกันนั้นผู้อื่นอาจมองไม่เห็น และไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์นั้นได้

3.โครงสร้างจุดที่เชื่อมโยงภายในร่างกาย และภายนอก

หมายถึงการอธิบายในรูปแบบ อภิปรัชญาภาวะเหนือธรรมชาติ ที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ ในสาขา อภิปรัชญาของจักรวาล กล่าวถึงการแบ่งโครงสร้าง พลังงานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ของแหล่งกำเนิดโครงสร้างพื้นฐานธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล รวมถึง ญาณวิทยา อันเป็นทฤษฎีของความรู้ เชื่อมต่อความจริง ความเชื่อและเหตุผล อันบริสุทธิ์ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขต ของวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ  เกิดจากสิ่งต่างๆ 5 แหล่ง คือ
1.พลังจากจักรวาล เช่น จากดาราจักร หรือ กลุ่มดาว หรือ ดวงหนึ่งดวงใด เช่น รังสีจักรวาลขั้นพลังสูง
2.พลังจากเทพ องค์หนึ่งองค์ใด หรือหลายองค์ ที่บุคคลนั้นๆ นับถือบูชา มาอย่างช้านาน เช่น เทวสภาโอลิมปัส (เทพกรีก)  เทพแห่งมณเทียร (เทพฮินดู)
3.พลังจากเหนือพิภพ ต้องตั้งอยู่บนพื้นโลก เช่น ภูเขาไฟ วัตถุขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธา เช่น วัด หรือ สถานศักดิ์สิทธิ์โบราณ
4.พลังจากใต้ดิน ที่สะสมมายาวนาน จากกลไกของโลกหรือจากการเชื่อมโยง มาจากที่หนึ่งที่ใด แต่ได้สะสมไว้ในใต้พื้นผิว

5.พลังจากตนเอง ซึ่งอยู่ที่จักระ 1

ความรู้โบราณในวิชา เมตาฟิสิกส์ (Metaphysics)

และแบ่งร่างกายที่รวมกันเป็นระบบชีวิต ออกเป็น 3 ส่วน คือ 

1.Structural คือ โครงสร้างภายนอก เช่น รูปลักษณะ ผิวหนัง 
2.Molecular คือ อณูหรือโมเลกุลต่างๆ ของชีวิตประกอบขึ้นเพื่อในการทำงานของ (Gene) และมีปฏิสัมพันธ์ กันระหว่าง ดีเอ็นเอ (DNA), อาร์เอ็นเอ (RNA) เป็นต้น  
3.Cellular คือเซลล์ หน่วยเล็กที่สุดของระบบชีวิตสามารถเพิ่มจำนวน เจริญเติบโต และตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้  

ดังนั้นระบบร่างกายโครงสร้างที่สำคัญที่สุดคือ เซลล์ ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด และสามารถตอบสนองสิ่งเร้าได้ จากอัญมณีบำบัดและพลังจักรวาลได้ โดยผ่านตำแหน่งจักระ ทั้ง 7 ตำแหน่ง เพื่อส่งคลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้น การทำงานระบบร่างกาย โดยไม่มีอันตรายใดๆ และการกระตุ้นนี้ คือวิธีการเสริมความมีเสถียรภาพให้กับเซลล์ เมื่อเซลล์มีเสถียรภาพ จะสร้างปฎิสัมพันธ์ไปยัง โครงสร้างร่างกายในระดับโมเลกุลทุกส่วนของระบบ ให้ผู้ที่ป่วยหรือผู้ที่ประสบปัญหาต่างๆ ทั้งด้านจิตใจสดชื่นสดใส จากภายในสู่ภายนอก สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแง่บวกขึ้นตามลำดับ

4.คุณสมบัติ ผลีกแร่อัญมณี ที่จะนำมาใช้ให้ได้ผลดี

หินทุกชนิดมีพลังงาน ทางไฟฟ้า เรียกว่า Electrlc Energy แต่คุณภาพนั้นมีความสำคัญยิ่ง หินทั่วไปนั้นมีคุณภาพต่ำมาก เพราะอายุประเภทหินมีอายุน้อยไม่กี่แสนปี การตกตะกอนของผลึกเรียงตัวไม่สมบูรณ์ และมีซากของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถมทับปะปนอยู่ในรูปของฟอสซิส ซึ่งอาจไม่ทราบ หินส่วนใหญ่มีองค์ประกอบทางเคมี คือ แคลเซียมคาร์บอเนต พลังงานจึงต่ำและถือว่าเป็นพลังงานสกปรก สำหรับมนุษย์ ดังนั้นความเข้าใจในการเลือกใช้ คุณสมบัติพลังอัญมณีแห่งจักรวาล ซึ่งมีความสำคัญเพื่อผลในด้านต่างๆที่ต้องการแก้ไข



คุณสมบัติ แร่ นำมาใช้อัญมณีบำบัดควรพิจารณา เปรียบเสมือนการเลือกบริโภคอาหาร และคุณประโยชน์มิได้เพียงบำบัดโรค แต่ยังส่งเสริมศักยภาพต่างๆต่อชีวิตประจำวัน

สำหรับแร่ต่างๆนั้นมีคุณสมบัติดีกว่าหินมาก เพราะมีองค์ประกอบของ ซิลิคอนไดออกไซด์ และมีการตกผลึกเรียงตัวกันอย่างยาวนานมากกว่าหลายร้อยล้านปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แร่ที่ตกผลึกใส ประเภทคริสตัล (Crystal) มีโครงสร้างภายในของการเรียงตัวที่เป็นระเบียบแบบแผน จึงสร้างประจุไฟฟ้ามีค่าพลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์กว่า เมื่อนำใช้ในเรื่องอัญมณีบำบัดที่ได้รับผลดี และองค์ประกอบของซิลิคอนในแร่ เป็นตัวเหนี่ยวนำพลังจักรวาลที่มีคุณภาพกว่าหินทั่วไป

5.กลไกธรรมชาติที่สำคัญ ของผลึกแร่อัญมณี จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์

Marcel Joseph Vogel จบการศึกษาด้านฟิสิกส์และเคมี เป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของ IBM เกือบ 30 ปี มีผลงานสิทธิบัตรการประดิษฐ์ 32 รายการ ได้เป็นผู้ค้นคว้าด้านทฤษฎีต่างๆของผลึกควอทซ์ โดยเฉพาะเรื่อง  "Universal life force" (พลังชีวิตจักรวาล) และทฤษฎีอื่นๆ เช่น เกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ของการสื่อสารระหว่างพืชกับมนุษย์ และยังมีการค้นคว้าเรื่องลึกลับอีกมากมาย โดยในรายงานส่วนหนึ่งของ Marcel Joseph Vogel ได้พบว่า คุณสมบัติของแร่ที่ตกผลึกใส ประเภทคริสตัล (Crystal) ที่นำมาใช้เป็นอัญมณีเพื่อเชื่อมโยงพลังจักรวาลนั้น มีลักษณะกลไกในทางกายภาพสามารถ สร้างปฎิสัมพันธ์กับร่างกายมนุษย์ มีรูปแบบ  6 ประการ คือ 

1.สร้างให้พลังสะท้อนหรือหักเห (Refraction) 
2.สร้างการขยายพลังให้สูงส่ง และรวมเป็นพลังจุดเดียว (Amplification and Focusing) 
3.สร้างความสมดุลและเสถียรภาพ รวมพลังเป็นจุดเดียว (Balancing and Stabilization) 
4.สร้างการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นรูปทรงต่างๆ (Transformation and Transmutation)
5.สร้างสะสมพลังไว้ในตัวเอง (Reception and Storage) 
6.โยกย้ายถ่ายเทพลังไปสู่สิ่งหนึ่งสิ่งใด (Transference and Transmittance) 


1.สร้างให้พลังสะท้อนหรือหักเห (Refraction)
2.สร้างการขยายพลังให้สูงส่ง และรวมเป็นพลังจุดเดียว (Amplification and Focusing)

 
3.สร้างความสมดุลและเสถียรภาพ รวมพลังเป็นจุดเดียว (Balancing and Stabilization)
4.สร้างการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นรูปทรงต่างๆ (Transformation and Transmutation)


5.สร้างสะสมพลังไว้ในตัวเอง (Reception and Storage)
6.โยกย้ายถ่ายเทพลังไปสู่สิ่งหนึ่งสิ่งใด (Transference and Transmittance)

ข้อควรปฎิบัติในการใช้ผลึกแร่ เพื่อพลังอัญมณีแห่งจักรวาล

1.เป็นสิ่งที่ใช้สำหรับส่วนตัว ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น และให้ผู้อื่นสัมผัสจับต้อง
2.การทำความสะอาด ใช้น้ำล้างเพียงประการเดียวแล้วเช็คให้แห้งสนิท
3.ไม่จำเป็นต้องพกพาติดตัว เพียงวางไว้ในสถานที่เหมาะสมในบ้าน
4.ไม่จำเป็นต้องนำไปไว้บนหิ้งพระ หรือนำไปบูชาในแบบใดๆ
5.ควรเชื่อมโยงพลังงานอย่างสม่ำเสมอตามสมควร




References. Marcel Joseph Vogel / อจ. ศจ.นายแพทย์ประสาน ต่างใจ / อจ.นาวาเอก นิกรเสือนาค / อจ.หม่อมหลวงอัคนี นวรัตน
 


บทความรู้โดย Cosmos Odyssey